7 ประโยค “ความในใจ” ที่พ่อแม่อาจไม่เคยบอกเรา

บางคนอาจเบื่อและรำคาญที่พ่อแม่คอยจ้ำจี้จ้ำไชเราอยู่ตลอด แต่ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่ท่านพูดกับเราที่ว่าเยอะแล้ว ท่านอาจมี “ความในใจ” ที่อาจไม่เคยแม้จะเอ่ยปากบอกคนเป็นลูกอย่างเราเลยก็ได้
อยากรู้ “ความในใจ” ของพ่อแม่เรามั้ย? เชื่อว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักและหวังดีกับลูกตัวเอง ต่อให้เราเป็นลูกที่เหลวไหล ไม่เชื่อฟังพวกเขามากแค่ไหนก็ตาม การที่พ่อแม่พร่ำสั่งสอนอบรมเราต่างๆ นานา เราอาจจะเบื่อที่จะฟัง แต่เชื่อเถอะว่าตั้งแต่เราเกิดจนกระทั่งเติบโตมา ถึงพวกเขาจะพูดมาก บ่นเยอะกับเราแค่ไหน คนเป็นพ่อเป็นแม่อาจมีอีกหลายความในใจที่ท่านอาจไม่เคยพูดกับเรา

วันนี้เราเลยขอเอา “ความในใจ” ของพ่อแม่บางส่วนมาบอกให้ลูกๆ ทั้งหลายได้รับรู้ความรู้สึกของพวกเขาไปพร้อมๆ กันค่ะ


เหนื่อย

หลายคนอาจจะรู้สึกเหนื่อยกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ เรียนหนักก็บ่น สอบเยอะก็เพลีย
พอเข้าวัยทำงานไม่ต้องพูดถึง… บางคนบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยล่ะค่ะ
ในขณะที่ท้อแท้ไม่รู้ว่าเราพูดคำว่าเหนื่อยออกมาทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวสักกี่รอบกัน แต่ถ้าลองนึกดูดีๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่เหนื่อยกว่าเรามาตั้งเท่าไหร่ กว่าจะเลี้ยงเราให้โตขึ้นมาได้ ท่านต้องเจอกับอะไรมากมาย แต่ก็พูดว่า “เหนื่อย” พร่ำเพรื่อไม่ได้เหมือนเรา แต่นี่น่าจะเป็น “ความในใจ” ของพ่อแม่หลายคน เพราะ…

ความเหนื่อยที่เราคิดว่าหนักหนาเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบของเรา โลกใบนั้นอาจจะมีเพียงแค่ “ตัวเรา” แต่สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว โลกทั้งใบของพวกท่านคือ “ลูก” ยังไงล่ะคะ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่อยากปริปากบ่นให้ลูกลำบากใจหรอกค่ะ

“อย่าลืมกันนะ”

ยิ่งโตขึ้น คนเราจะเริ่มเข้าสังคมมากขึ้น มีทั้งเพื่อนมีทั้งแฟน เราตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เจอะเจอะกับผู้คนมากหน้าหลายตา ได้รู้จักคนใหม่ๆ ดี๊ด๊า กับความสัมพันธ์ (ที่หลายครั้งก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย) แม้เราจะยุ่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่เราก็ให้เวลากับคนเหล่านั้นได้เสมอ ในทางกลับกัน บางคนมักหลงลืมคนที่รอเรากินข้าวอยู่ที่บ้าน เป็นห่วงเราว่าเราจะเป็นอะไรมั้ย จะกลับบ้านกี่โมง คนเป็นพ่อเป็นแม่คงไม่บอกให้เราคิดถึงเขาตลอดเวลาหรอกค่ะ แต่ในฐานะที่เราเป็นลูก เราก็ควรคิดให้ได้ว่าการที่คนๆ หนึ่งเป็นห่วงใครสักคนมันเป็นเรื่องที่น่ากระวนกระวายใจพอสมควร ดังนั้น ถ้าเรากำลังมีช่วงเวลาที่ดีๆ ก็อย่าลืมคิดถึงพ่อกับแม่ด้วยนะคะ

“เข้าใจพ่อกับแม่นะ”

หลายคนอาจจะคุ้นกับประโยคที่ว่า “มีลูกแล้วจะเข้าใจ”
.ในจุดนี้เอง คนที่ยังไม่มีลูกก็คงยังไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ดีเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเราไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพ่อแม่ บางครั้งการกระทำหรือคำพูดบางอย่างที่ออกมาจากพ่อกับแม่ อาจทำให้ลูกๆ อย่างเราเกิดคำถามว่า ทำไม? ทำไม? ทำไม? เต็มไปหมด เช่น ตอนเด็กๆ ทำไมขอพ่อกับแม่ไปเที่ยวแล้วเขาไม่ให้ ทำไมเราไม่ได้ในสิ่งที่เราอยากได้ล่ะ? ทำไมต้องห้าม? ฯลฯ คำถามล้านแปดที่เกิดขึ้น ในตอนนั้นเราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย แต่ถ้าคิดให้ดีเราอาจจะรู้คำตอบก็ได้ เพราะทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมันแล้ว เพราะ “เขาเป็นห่วงเราไง” หรือ ที่ให้ของที่ลูกอยากได้ไม่ได้ก็เพราะ “พ่อกับแม่มีแค่นี้ไง”

“เสียใจนะ”

หลายๆ ครั้งเราอาจรู้สึกเสียใจเพราะพ่อแม่ อยากให้รู้ว่าพ่อกับแม่ก็อาจเคยเสียใจกับคำพูดและการกระทำของเราเช่นกัน เพราะบางครั้งเราอาจจะเถียงพ่อแม่ รำคาญพ่อแม่ ขึ้นเสียงใส่พ่อแม่ ต่อต้านพ่อแม่ต่างๆ นานา ดูรวมๆ แล้วก็คืองี่เง่าใส่พวกท่านนั่นแหละ ซึ่งในความเป็นจริงเราอาจไม่ได้อยากทำแบบนั้น แต่ด้วยอารมณ์ในขณะนั้น เราอาจจะเก็บกฎมาจากนอกบ้านแล้วมาลงที่พ่อแม่ ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ ทุกการกระทำของเรา ถือเป็นอะไรที่เซนซิทีฟต่อคนเป็นพ่อเป็นแม่มากนะคะ ทางที่ดีอย่าให้เกิดขึ้นบ่อยจะดีมากเลย เพราะถึงพวกท่านจะเสียใจแค่ไหน เขาคงไม่มานั่งบอกหรอกว่าเขากำลังเสีย หรือ อาจไปแอบน้ำตาตกอยู่ก็เป็นได้

“รักพ่อกับแม่บ้างนะ”

เวลาเราให้ความรักใคร เรายังอยากได้ความรักตอบเลย พ่อแม่ก็เช่นกัน ไม่มีใครทำอะไรแล้วไม่หวังผลตอบแทนในที่นี้ พ่อกับแม่คงไม่ได้ต้องการให้เราซื้อบ้านซื้อรถ หรือหวังผลอะไรที่เป็นสิ่งของนอกกายหรอกค่ะ ท่านเพียงต้องการความรักและความใส่ใจเท่านั้นเอง ในฐานะที่เราเป็นลูก เราก็ควรตอบแทนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านบ้าง อย่างน้อยๆ ก็คือ ควรทำให้พ่อกับแม่สบายใจ ไม่เป็นทุกข์เพราะเราเท่านั้นก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ

“รักคนที่เขารักเรา”

“ความสุขของลูก = ความสุขของพ่อแม่”
เป็นคำพูดที่ถูกส่วนหนึ่ง แต่ในทางกลับกันเราก็ควรเชื่อฟังพ่อกับแม่บ้างหากท่านเตือนอะไร คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากเห็นลูกตัวเองนั่งร้องไห้ เพราะ “คนอื่น” อย่างแน่นอน ถึงนี่มันจะปี 2016 แล้ว หมดยุคคลุมถุงชนที่พ่อแม่หาคนรักให้แล้วก็ตาม แต่ทางที่ดีเราควรรักตัวเองมากพอ มากพอที่จะเลือกคนที่จะไม่ทำให้ชีวิตที่พ่อแม่สร้างมากับมือพังลง ควรคิดให้ได้ว่าความสบายใจของพ่อกับแม่ก็ควรจะเป็นหนึ่งในความสุขของเราเช่นกัน

“ลูกยังเป็นเด็กอยู่เสมอ”

ในช่วงชีวิตที่เรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็มีพ่อแม่นี่แหละ ที่คอยเลี้ยงดูโอบอุ้มจนกระทั่งเราโตขึ้น พอช่วงวัยรุ่น เราก็อาจเผลอคิดว่า “นี่ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ” ดูแลตัวเองได้แล้ว พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วง หรือแม้แต่ตอนที่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยหรือมีเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้วก็ตาม หลายคนอาจจะรู้สึกถึงความอิสระมากขึ้น ชีวิตไม่ได้มีกรอบหรือกฎเกณฑ์มาบังคับ อยากทำอะไรก็ได้ทำ เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น หรืออาจจะเรียกได้ว่า “ปีกกล้าขาแข็ง” โนสน โนแคร์คำพูดคนอื่น แต่เราคงหลงลืมไปว่ายังไงซะ

เราก็ยังคงเป็นเด็กในสายตาพ่อกับแม่อยู่เสมอ อาจจะไม่ถึงขนาดเด็กอมมืออะไรทำนองนั้นหรอกค่ะ แต่ทุกย่างก้าวของชีวิตเราเนี่ย เราก็จะมีคนสองคนนี้แหละที่คอยเฝ้าดูความเป็นไปของเราอยู่ ถึงว่าแหละค่ะพ่อแม่เขา “อาบน้ำร้อนมาก่อน” เจอ “โลก” มาก่อนเรา บางเรื่องเราก็ต้องฟังท่านบ้าง

ทั้งหมดทั้งมวลนะ “ถ้าเธอมีลูก เธอจะเข้าใจ” ฮ่าๆๆๆ แต่ถึงไม่มีลูกก็รู้ “ความในใจ” ของพ่อแม่เราบ้างก็ดีนะคะ นี่ไม่ได้จะเปิดพื้นที่ดราม่าแต่อย่างใดนะคะ แต่เราแค่ไม่อยากให้ทุกคนอย่าเผลอใช้ชีวิตประมาทจนละเลยสิ่งสำคัญในชีวิตไปตังหาก ก็เราไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้คนเดียวสักหน่อย 


ขอขอบคุณบทความ, ภาพประกอบจาก
https://www.beautyhunter.co.th
http://www.oliviaraejames.com
www.pinterest.com
www.tumblr.com



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 ท่าเซ็กส์มัดใจสามี

อาการของคนหมดรัก

เมื่อเขาหมดใจ "น่าสมเพชเวทนา"